หากต้องการเปิดร้านค้าออนไลน์โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการจัดการสินค้าคงคลัง การดรอปชิปเป็นโมเดลธุรกิจที่น่าสนใจ แต่คุณจะหาซัพพลายเออร์สินค้าที่คุณต้องการขายยังไงดี?
สำหรับผู้ประกอบการส่วนใหญ่ คำตอบคือใช้บริการเว็บไซต์หรือแอปดรอปชิป แพลตฟอร์มเหล่านี้มีไดเร็กทอรีของซัพพลายเออร์และผู้ค้าส่ง แถมหลายเจ้ายังเชื่อมต่อกับร้านค้าเพื่อจัดการออเดอร์ให้คุณโดยอัตโนมัติอีกด้วย
มาดูข้อมูลเปรียบเทียบข้อดี ข้อเสีย และค่าใช้จ่ายของเว็บดรอปชิปยอดนิยม 9 แห่ง ด้านล่างนี้ไปพร้อมๆ กัน
ธุรกิจดรอปชิปคืออะไร
การดรอปชิป เป็นโมเดลธุรกิจอีคอมเมิร์ซ โดยสินค้าที่ขายโดยผู้ขายปลีกออนไลน์จะถูกผลิต จัดเก็บ และจัดส่งโดยบริษัทที่สาม
แทนที่จะซื้อสินค้าจำนวนมากจากซัพพลายเออร์ ร้านค้าออนไลน์ที่ใช้การดรอปชิปจะซื้อสินค้าชิ้นเดียวจากซัพพลายเออร์หลังจากที่ลูกค้าสั่งซื้อ จากนั้นซัพพลายเออร์จะบรรจุและจัดส่งออเดอร์นั้นไปยังลูกค้าโดยตรง
สำหรับพ่อค้าแม่ค้ามือใหม่ การดรอปชิปนั้นนับว่ามีประโยชน์หลายด้านเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การดรอปชิปนั้นสามารถช่วยให้ผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นธุรกิจประหยัดเงิน เวลา และทรัพยากรที่อาจต้องใช้บริหารจัดการสต๊อกได้
ตอบคำถาม Dropship เว็บไหนดีที่สุด ด้วยตารางเปรียบเทียบ 9 เว็บดรอปชิปชั้นนำ
มาดูตารางเปรียบเทียบคุณสมบัติหลักๆ ของเว็บดรอปชิปยอดนิยม เพื่อช่วยให้คุณเลือกเว็บที่เหมาะที่สุดสำหรับธุรกิจของคุณ
เว็บไซต์ |
ราคา |
สินค้าคงคลัง |
การจัดส่ง |
เหมาะกับ |
แอป Shopify |
---|---|---|---|---|---|
ฟรี (สูงสุด 3,000 ผลิตภัณฑ์) จากนั้น $19.90/เดือน (ประมาณ 690 บาท) |
100+ ล้านผลิตภัณฑ์ |
ทั่วโลก |
ผู้ขายมือใหม่งบไม่เยอะ |
เชื่อมต่อได้ |
|
เริ่มต้นที่ $39.99/เดือน (ประมาณ 1,390 บาท) |
หลากหลาย เน้นซัพพลายเออร์ในสหรัฐอเมริกาและยุโรป |
สหรัฐอเมริกา ยุโรป แคนาดา เอเชีย ออสเตรเลีย บราซิล |
ผลิตภัณฑ์ที่มีแบรนด์, การจัดส่งเร็ว |
เชื่อมต่อได้ |
|
$27/เดือน สำหรับดรอปชิป (ประมาณ 940 บาท); $67/ปี สำหรับไดเร็กทอรี (ประมาณ 2,340 บาท) |
2.5+ ล้านผลิตภัณฑ์ในหลายหมวดหมู่ |
ขึ้นอยู่กับซัพพลายเออร์ |
ผู้ขายสายเน้นข้อมูล, เขียนโค้ดปรับแต่งเองได้ |
เชื่อมต่อไม่ได้ (แต่มี API) |
|
$49/เดือน สำหรับแผน Pro (ประมาณ 1,710 บาท) |
หลากหลาย รวมถึงซัพพลายเออร์ รวมถึงในสหรัฐอเมริกา |
สหรัฐอเมริกาและทั่วโลก |
ผู้ขาย Shopify, ผลิตภัณฑ์จากสหรัฐอเมริกา |
เชื่อมต่อได้ |
|
ฟรี (สูงสุด 25 ผลิตภัณฑ์) จากนั้น $35/เดือน (ประมาณ 1,220 บาท) |
แบรนด์ใหญ่ ผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน |
สหรัฐอเมริกาและทั่วโลก (80+ ประเทศ) |
ผู้ขายที่มีงบประมาณจำกัด, การรับรู้แบรนด์ |
เชื่อมต่อได้ |
|
เริ่มต้นที่ $29.99/เดือน (ประมาณ 1,040 บาท) |
1+ ล้านผลิตภัณฑ์ |
ส่วนใหญ่ในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา |
การดำเนินงานที่ราบรื่น, การขายหลายช่องทาง |
เชื่อมต่อได้ |
|
เริ่มต้นที่ $24.99/เดือน (ประมาณ 870 บาท) |
หลากหลาย |
ส่วนใหญ่ในสหรัฐอเมริกาและจีน |
กฎการตั้งราคา, ผลิตภัณฑ์จากสหรัฐอเมริกา |
เชื่อมต่อได้ |
|
ฟรี |
ผลิตภัณฑ์แฟชั่น 100,000+ รายการ |
สหรัฐอเมริกา |
ผู้ขายเสื้อผ้าสำหรับผู้หญิง |
เชื่อมต่อได้ |
|
Inventory Source |
$99/เดือน (ประมาณ 3,460 บาท) |
N/A |
ขึ้นอยู่กับซัพพลายเออร์ |
ผู้ขายที่มีซัพพลายเออร์อยู่แล้ว |
เชื่อมต่อไม่ได้ |
Wholesale Central |
ฟรี สำหรับไดเร็กทอรี |
ขึ้นอยู่กับซัพพลายเออร์ |
ขึ้นอยู่กับซัพพลายเออร์ |
การสร้างความสัมพันธ์กับผู้ค้าส่ง |
เชื่อมต่อไม่ได้ |
Worldwide Brands |
$187 ชำระครั้งเดียว (ประมาณ 6,540 บาท) |
16+ ล้านผลิตภัณฑ์ |
ขึ้นอยู่กับซัพพลายเออร์ |
ซัพพลายเออร์ที่เชื่อถือได้, ผู้ขายที่มีประสบการณ์ |
เชื่อมต่อไม่ได้ |
ปัจจัยที่ใช้พิจารณาว่าจะ Dropship กับเว็บไหนดี
เว็บดรอปชิปส่วนใหญ่ทำหน้าที่คล้ายกัน แต่จะแตกต่างกันในด้านค่าใช้จ่าย ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ นโยบาย และความสะดวกในการใช้งาน สำหรับลิสต์นี้ เราได้รีวิวเว็บดรอปชิปที่ดีที่สุดโดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ดังนี้
- ราคา: ค่าธรรมเนียมรายเดือน ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม และค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมใดๆ
- สินค้าคงคลัง: การเชี่ยวชาญด้านสินค้าเฉพาะกลุ่ม ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ และการมีแบรนด์
- การจัดส่ง: ซัพพลายเออร์จัดส่งผลิตภัณฑ์จากที่ใดและไปที่ไหน และความเร็วในการจัดส่ง
- คุณสมบัติหลัก: ฟังก์ชันที่ไม่เหมือนใคร การผสานรวมกับระบบต่างๆ และความสามารถในการทำงานแบบอัตโนมัติ
- เหมาะสำหรับ: ความต้องการเฉพาะตัวของผู้ขายและโมเดลธุรกิจ
- การให้คะแนนในแอป Shopify: การผสานการทำงานโดยตรงกับแพลตฟอร์ม Shopify และรีวิวจากผู้ขาย Shopify
หมายเหตุ: คุณสมบัติและราคาอาจเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้นคุณจึงควรตรวจสอบข้อมูลล่าสุดในเว็บดรอปชิปอยู่เสมอ
เว็บดรอปชิปช่วยร้านค้าของคุณได้อย่างไร
เนื่องจากการดรอปชิปมอบหมายงานส่วนใหญ่ในการเริ่มต้นธุรกิจให้กับบุคคลที่สาม บริการนี้จึงมีข้อดีมากมาย ดังนี้
ต้นทุนต่ำ
เมื่อคุณดรอปชิปผลิตภัณฑ์ คุณจะจ่ายเฉพาะค่าผลิตภัณฑ์หลังจากที่คุณขายได้ ซึ่งหมายความว่าคุณจะไม่ต้องกังวลเรื่องการเอาเงินไปจมเวลาซื้อสินค้ามาสต๊อก
ใช้เงินทุนเริ่มต้นน้อยกว่า
ต้นทุนเริ่มต้นสำหรับธุรกิจดรอปชิปนั้นไม่จำเป็นต้องสูง เพราะคุณไม่จำเป็นต้องจ่ายเพื่อผลิตหรือจัดเก็บผลิตภัณฑ์ ดังนั้น การที่คุณสามารถประหยัดตรงจุดนี้ได้มากกว่าก็หมายความว่า คุณจะมีงบไปลงกับเรื่องอื่นๆ เพื่อผลักดันก้าวแรกให้ธุรกิจของคุณได้ เช่น การโฆษณาที่ต้องชำระเงิน
ความยืดหยุ่นด้านสถานที่
เนื่องจากสินค้าคงคลังจัดการโดยซัพพลายเออร์ของคุณ คุณจึงไม่จำเป็นต้องฟิกซ์อยู่ในสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง คุณสามารถทำงานจากที่บ้าน ในร้านกาแฟร้านที่คุณไปประจำ หรือกระท่อมเงียบสงบในป่าก็ได้ (และถ้าให้ดีก็ขอเป็นที่ที่มี Wi-Fi แรงหน่อย)
มีความเสี่ยงน้อยลงเวลาจะทดลองผลิตภัณฑ์ใหม่
เว็บดรอปชิปส่วนใหญ่จะเน้นสินค้าที่ขายดีอยู่แล้ว ซึ่งหมายความว่าคุณจะรู้ว่าผลิตภัณฑ์ไหนเป็นที่ต้องการสูงในขณะนั้น
ประหยัดเวลา
การจัดหาสินค้า การจัดการสินค้าคงคลัง และการจัดส่งผลิตภัณฑ์ล้วนเป็นเรื่องที่กินเวลา แต่เมื่อคุณมอบหมายหน้าที่เหล่านี้ให้บุคคลที่สาม คุณก็จะมีเวลาไปโฟกัสกับการทำการตลาดผลิตภัณฑ์และการสร้างแบรนด์ของคุณได้
Dropship เว็บไหนดีที่สุด? พบ 9 เว็บดรอปชิปที่ดีที่สุด
- DSers-AliExpress Dropshipping
- Spocket
- SaleHoo
- Zendrop
- Modalyst
- Trendsi
- Inventory Source
- Wholesale Central
- Worldwide Brands
การจะรู้ว่าต้องเริ่มธุรกิจดรอปชิปตรงไหนอาจไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าไหร่ นอกจากนี้การหาเว็บดรอปชิปที่เหมาะกับความต้องการของคุณก็ดูจะยิ่งปวดหัวเข้าไปใหญ่
แต่เพื่อให้ชีวิตคุณง่ายขึ้น เราได้ทำลิสต์เว็บดรอปชิปที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในหมู่ผู้ประกอบการ 9 เว็บ พร้อมรีวิวมาให้คุณแล้ว
1. DSers-AliExpress Dropshipping
เมื่อพูดถึงความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ มีบริษัทดรอปชิปเพียงไม่กี่เจ้าเท่านั้นแหละที่สามารถแข่งขันกับ AliExpress ได้ บริการค้าปลีกออนไลน์เจ้านี้เปิดตัวในปี 2010 และมีผลิตภัณฑ์มากกว่า 100 ล้านรายการ ดังนั้นคุณจะเจอสิ่งที่ต้องการขายได้แน่นอน ไม่ว่าคุณจะเจาะสินค้าเฉพาะกลุ่มแบบไหน
หากคุณตั้งใจจะดรอปชิปกับ AliExpress ตัวเลือกที่ดีที่สุดคือการเชื่อมต่อร้าน Shopify ของคุณกับแอป DSers เมื่อใช้แผนฟรี ปลั๊กอิน DSers-AliExpress จะทำให้คุณสามารถสำรวจคอลเลกชันสินค้าขนาดมหึมาของ AliExpress และเพิ่มสินค้านั้นๆ ลงในร้านค้าของคุณได้ในไม่กี่คลิก
- ราคา: ฟรีสำหรับผลิตภัณฑ์สูงสุด 3,000 รายการ แผนขั้นสูงเริ่มต้นที่ $19.90 ต่อเดือน (ประมาณ 690 บาท)
- ข้อดี: ผลิตภัณฑ์มีความหลากหลายสูง ราคาถูก และซิงก์กับร้าน Shopify ของคุณได้ง่าย
- ข้อเสีย: AliExpress เป็นหนึ่งในซัพพลายเออร์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายที่สุด สินค้าที่คุณขายเลยอาจไปซ้ำกับผู้ค้าปลีกรายอื่น
- แนะนำสำหรับ: ผู้ขายใหม่ที่มีงบไม่มาก แต่สามารถสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งและคัดสรรสินค้าที่น่าสนใจได้
- การเชื่อมต่อแอป Shopify: รองรับ
2. Spocket
Spocket เป็นบริการจัดการออเดอร์ที่มีซัพพลายเออร์ค้าส่งหลายเจ้า โดยส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกาและยุโรป แต่สำหรับร้านค้าจากประเทศอื่นๆ แพลตฟอร์มนี้ก็ยังมีซัพพลายเออร์ในแคนาดา เอเชีย ออสเตรเลีย และบราซิล
เมื่อใช้บริการ Spocket คุณจะสามารถเรียกดูผลิตภัณฑ์ของซัพพลายเออร์และเพิ่มลงในร้าน Shopify ของคุณได้ในคลิกเดียว นอกจากนี้ Spocket ยังทำให้กระบวนการสั่งซื้อทั้งหมดเป็นระบบอัตโนมัติ โดยมีการจัดส่งสินค้าให้กับลูกค้าของคุณ ณ จุดซื้อ
Spocket มีฟีเจอร์ใบแจ้งหนี้ที่สามารถใส่แบรนด์ลงไปได้ ทำให้คุณสามารถสร้างใบแจ้งหนี้แบบคัสตอมสำหรับแบรนด์ของคุณเพื่อจัดส่งไปพร้อมกับสินค้า บรรจุภัณฑ์ที่ติดแบรนด์เอาไว้จะช่วยเพิ่มการรับรู้แบรนด์และสร้างความภักดีของลูกค้าได้ (และจำเป็นสำหรับการดรอปชิป Amazon)
- ราคา: ถ้าต้องการเข้าถึงฟีเจอร์ส่วนใหญ่ คุณจะต้องใช้แผนเริ่มต้นที่ $39.99 ต่อเดือน (ประมาณ 1,390 บาท)
- ข้อดี: Spocket รวมใบแจ้งหนี้ที่มีแบรนด์ซึ่งทำให้ธุรกิจของคุณอยู่ในใจของลูกค้า สำหรับซัพพลายเออร์และสถานที่ตั้งลูกค้าบางแห่ง Spocket ยังเสนอเวลาจัดส่งที่รวดเร็ว
- ข้อเสีย: Spocket อาจมีราคาแพง ใบแจ้งหนี้แบรนด์มีให้เฉพาะในแผน Pro ซึ่งมีผลิตภัณฑ์น้อยกว่าที่มีราคาแพงกว่าแอปดรอปชิปอื่น
- แนะนำสำหรับ: ผู้ขายที่มีเงินทุนเริ่มต้นที่ต้องการสร้างแบรนด์ผลิตภัณฑ์ของตนเอง
- การเชื่อมต่อแอป Shopify: รองรับ
3. SaleHoo
SaleHoo เป็นทั้งเครื่องมือวิจัยและไดเร็กทอรีซัพพลายเออร์สำหรับบริการดรอปชิป ผู้ค้าส่ง และร้านค้าอีคอมเมิร์ซ
ฐานข้อมูลของ SaleHoo รวมซัพพลายเออร์ค้าส่งและซัพพลายเออร์ดรอปชิปกว่า 8,000 ราย และมีผลิตภัณฑ์ว่า 2.5 ล้านชนิด
เมื่อใช้บริการ SaleHoo ผู้ขายสามารถใช้งาน Market Research Lab ของแพลตฟอร์มได้ ซึ่งจะให้ข้อมูลต่างๆ รวมทั้งยอดขายของผลิตภัณฑ์ ก่อนที่จะเพิ่มผลิตภัณฑ์นั้นลงในร้านของคุณ คุณสามารถดูว่าได้ว่าผลิตภัณฑ์นั้นๆ ขายดีไหมในร้านค้าและตลาดออนไลน์เจ้าอื่นอย่าง eBay และ Amazon
SaleHoo ยังช่วยให้คุณเห็นว่ามีผู้ขายปลีกรายอื่นๆ อีกกี่รายที่ขายผลิตภัณฑ์นั้นๆ ซึ่งหมายความว่าคุณนำความพร้อมจำหน่ายของผลิตภัณฑ์มาคิด เวลาจะวางตำแหน่งให้กับแบรนด์ของคุณ เว็บนี้จึงมอบแหล่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ชายที่ต้องการให้แบรนด์ของตนอยู่ในวงการผลิตภัณฑ์ที่มีความต้องการสูง หรือนำเสนอความเอ็กซ์คลูซีฟให้ผลิตภัณฑ์ที่หาได้ค่อนข้างยาก
- ราคา: ฟีเจอร์ดรอปชิปของ SaleHoo เริ่มต้นที่ $27 ต่อเดือน (ประมาณ 940 บาท) การเข้าถึงฐานข้อมูลของบริษัท (โดยไม่มีฟีเจอร์ดรอปชิป) มีค่าใช้จ่าย $67 ต่อปี (ประมาณ 2,340 บาท)
- ข้อดี: SaleHoo ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่
- ข้อเสีย: ฟีเจอร์ดรอปชิปไม่สามารถผสานการทำงานเข้ากับ Shopify หรือแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอื่ๆ ได้ ดังนั้นคุณจะต้องนำเข้าสั่งซื้อด้วยตนเอง
- แนะนำสำหรับ: แม้จะไม่มีแอป แต่ SaleHoo มีแหล่งข้อมูล API ฟรี จึงเหมาะสำหรับผู้ขายสายเน้นข้อมูล และมีประสบการณ์ในการเขียนโค้ดที่สามารถใช้ประโยชน์จากฟีเจอร์นี้ได้
- การเชื่อมต่อแอป Shopify: ไม่รองรับ
4. Zendrop
Zendrop เป็นแอป Shopify ที่ได้รับความนิยมซึ่งให้บริการทั้งการดรอปชิปและบริการพิมพ์ตามสั่ง และเป็นปลั๊กอินที่สร้างขึ้นโดยผู้ให้บริการดรอปชิปมากประสบการณ์ ที่หัวเสียงจากเว็บดรอปชิปเจ้าอื่นๆ เช่น เจอซัพพลายเออร์ที่ไม่สม่ำเสมอและการจัดส่งที่ไม่แน่นอน
ด้วยเหตุนี้เอง Zendrop จึงมีอินเทอร์เฟซที่ทำให้คุณสามารถเพิ่งผลิตภัณฑ์ลงในเว็บของคุณได้ง่ายๆ และสินค้าหลายรายการยังสต๊อกอยู่ในสหรัฐอเมริกาเพื่อให้สามารถจัดส่งได้ภายใน 5-8 วัน ผู้ขายสามารถสร้างบรรจุภัณฑ์ที่กำหนดเองและกล่องแบบสมัครสมาชิกเพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าซื้อซ้ำได้อีกด้วย
- ราคา: หลังจากทดลองใช้ฟรี 7 วัน แผน Pro เสนอออเดอร์ไม่จำกัดในราคา $49 ต่อเดือน (ประมาณ 1,710 บาท)
- ข้อดี: ผลิตภัณฑ์อยู่ในสหรัฐอเมริกา บรรจุภัณฑ์ที่กำหนดเองได้ และความมุ่งมั่นในการทำงานกับซัพพลายเออร์ที่เชื่อถือได้เท่านั้น
- ข้อเสีย: Zendrop ใช้ได้เฉพาะกับผู้ขาย Shopify เท่านั้น และมีราคาแพงกว่าเจ้าอื่นๆ
- แนะนำสำหรับ: ผู้ขาย Shopify ที่มองหาคนกลางมากประสบการณ์ เพื่อดีลระหว่างร้านของตัวเองกับซัพพลายเออร์
- การเชื่อมต่อแอป Shopify: รองรับ
5. Modalyst
Modalyst เป็นแอปดรอปชิปอัตโนมัติ ที่เป็นที่รู้จักดีกว่ามีแบรนด์ใหญ่ๆ อยู่ในนั้น การขายผลิตภัณฑ์จากบริษัทที่ลูกค้าของคุณคุ้นเคยจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ของคุณ พร้อมทั้งเพิ่มความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ของคุณด้วย
สำหรับผู้ขายในสหรัฐอเมริกา Modalyst ยังมาพร้อมตลาดที่มีซัพพลายเออร์ผู้พร้อมจัดส่งออเดอร์ภายในประเทศในเวลา 6-8 วัน สำหรับผู้ดรอปชิปจากประเทศอื่นๆ ซัพพลายเออร์ของ Modalyst จัดส่งไปยังมากกว่า 80 ประเทศ นอกจากนี้ แอปยังมีการเป็นพันธมิตร API กับ AliExpress ในรูปแบบของส่วนขยาย Chrome ด้วย
Modalyst คัดสรรคอลเลกชันของผลิตภัณฑ์ที่ทำจากวัสดุที่ยั่งยืนจากซัพพลายเออร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สำหรับผู้ขายที่ต้องการลดรอยเท้าคาร์บอนของตน นอกจากนี้คุณยังสามารถเพิ่มแบรนด์ของคุณลงในผลิตภัณฑ์ได้โดยใช้เโปรแกรมดรอปชิปแบรนด์ส่วนตัวของเว็บ
- ราคา: แผนฟรีของ Modalyst มัดรวมฟีเจอร์อัตโนมัติสำหรับผลิตภัณฑ์สูงสุด 25 รายการ และหากต้องการผลิตภัณฑ์สูงสุด 250 รายการ จะมีค่าใช้จ่าย $35 ต่อเดือน (ประมาณ 1,220 บาท)
- ข้อดี: Modalyst มีค่าใช้จ่ายต่ำกว่า และถึงแม้ว่าแผนฟรีจะจำกัดผลิตภัณฑ์ไว้ที่ 25 รายการ แต่ก็รวมฟีเจอร์อัตโนมัติหลายอย่างที่พบในคู่แข่งที่มีราคาสูงกว่า นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์จำนวนมากด้วย
- ข้อเสีย: ผลิตภัณฑ์ใน Modalyst อาจมีจำนวนจำกัดและขายหมดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมาจากแบรนด์ที่มีชื่อเสียง และมีผู้ขาย Shopify จำนวนหนึ่งได้รายงานปัญหาเกี่ยวกับการใช้งานในเวอร์ชันแอปเข้ามา
- แนะนำสำหรับ: ผู้ขายที่มีงบประมาณจำกัดที่มองหาวิธีที่มีต้นทุนต่ำในการขายผลิตภัณฑ์จากแบรนด์ที่รู้จัก
- การเชื่อมต่อแอป Shopify: รองรับ
6. Trendsi
ร้านค้าอีคอมเมิร์ซหลายแห่งเน้นให้บริการกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงหรือตลาดเฉพาะกลุ่ม สำหรับผู้ขายเหล่านั้น การหาซัพพลายเออร์ที่โฟกัสเฉพาะผลิตภัณฑ์ประเภทใดประเภทหนึ่งจึงเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล
Trendsi เป็นผู้ค้าส่งที่ออกแบบมาสำหรับผู้ขายที่ขายเสื้อผ้าผู้หญิงในสหรัฐอเมริกาโดยเฉพาะ แอป Shopify ส่งผลิตภัณฑ์แฟชั่นมากกว่า 100,000 รายการไปยังลูกค้าใน 2-10 วัน พร้อมใบแจ้งหนี้ที่ประทับแบรนด์จากร้านค้าของคุณ
ผู้ใช้ระดับ Luxe ของ Trendsi จะได้รับบริการจัดส่งที่รวดเร็วยิ่งขึ้น และเข้าถึงเสื้อผ้า รองเท้า และเครื่องประดับที่มีแบรนด์ได้
- ราคา: Trendsi ใช้งานฟรี โดยมีค่าธรรมเนียมรวมอยู่ในราคาส่ง
- ข้อดี: มีไลน์ผลิตภัณฑ์เฉพาะสำหรับผู้ขายเสื้อผ้าผู้หญิง และผลิตภัณฑ์อยู่ในสหรัฐอเมริกาอยู่แล้ว จึงจัดส่งได้รวดเร็ว
- ข้อเสีย: มีความหลากหลายของผลิตภัณฑ์น้อยกว่าที่เว็บดรอปชิปอื่นๆ
- แนะนำสำหรับ: ผู้ขายเสื้อผ้าในสหรัฐอเมริกา
- การเชื่อมต่อแอป Shopify: รองรับ
7. Inventory Source
Inventory Source เป็นแพลตฟอร์มดรอปชิปและเครื่องมือจัดการออเดอร์ ที่เชื่อมต่อร้านค้ากับซัพพลายเออร์โดยไม่คิดค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม
ด้วยความที่หลักๆ แล้ว Inventory Source เป็นเครื่องมือจัดการสินค้าคงคลัง เว็บนี้จึงเป็นตัวเลือกเดียวในลิสต์นี้ที่อนุญาตให้คุณเพิ่มซัพพลายเออร์ดรอปชิปของคุณเองได้ แม้จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการผสานการทำงานของระบบก็ตาม
- ราคา: แผนการอัตโนมัติของสินค้าคงคลังเริ่มต้นที่ $99 ต่อเดือน (ประมาณ 3,460 บาท)
- ข้อดี: เป็นทางเลือกสำหรับผู้ขายที่มีซัพพลายเออร์อยู่แล้ว และต้องการซิงก์ข้อมูลสินค้าคงคลังและออเดอร์
- ข้อเสีย: Inventory Source อาจจะราคาสูงไปนิด และเพราะหลักๆ ทำหน้าเสมือนเครื่องมือมากกว่า จึงเหมาะสำหรับผู้ขายที่มีประสบการณ์ในการทำงานกับซัพพลายเออร์ดรอปชิป มีผู้ขาย Shopify จำนวนหนึ่งรายงานปัญหาเกี่ยวกับการใช้แอปในเวอร์ชันอัปเดตล่าสุดเข้ามาด้วย
- แนะนำสำหรับ: ผู้ขายที่มีความร่วมมือที่มั่นคงกับซัพพลายเออร์ หรือผู้ที่ต้องติดต่อร่วมมือกับซัพพลายเออร์ด้วยตัวเอง
- การเชื่อมต่อแอป Shopify: ไม่รองรับ
8. Wholesale Central
Wholesale Central นั้นแตกต่างจากเจ้าอื่นๆ ในลิสต์นี้ เพราะ Wholesale Central ไม่ใช่แอปหรือแพลตฟอร์ม แต่เป็นไดเร็กทอรีของผู้ดรอปชิป ซัพพลายเออร์ และผู้ค้าส่ง สำหรับทั้งผู้ซื้อและซัพพลายเออร์ Wholesale Central มาพร้อมวิธีการง่ายๆ (แม้หน้าตาจะดูย้อนยุคไปนิด) ที่จะพาคุณไปพบกับพันธมิตรทางธุรกิจที่มีศักยภาพจำนวนมาก
บน Wholesale Central นี้ เจ้าของร้านสามารถเลือกหาผลิตภัณฑ์และซัพพลายเออร์ หรือค้นหาผลิตภัณฑ์และซัพพลายเออร์ตามชื่อ และเมื่อเจอซัพพลายเออร์ที่สนใจทำงานด้วย Wholesale Central ก็จะมีข้อมูลติดต่อให้
แม้ว่า Wholesale Central จะไม่มีเครื่องมือจัดการสินค้าคงคลัง แต่ก็เป็นแหล่งข้อมูลฟรีที่มีรายชื่อผู้ดรอปชิปและซัพพลายเออร์จำนวนมาก ที่สามารถจัดหาผลิตภัณฑ์ให้กับร้านค้าของคุณได้
- ราคา: ฟรี
- ข้อดี: Wholesale Central เป็นวิธีที่มีต้นทุนต่ำในการค้นหาซัพพลายเออร์ที่พร้อมร่วมงานกับผู้ค้าปลีก
- ข้อเสีย: Wholesale Central ไม่มีเครื่องมือจัดการออเดอร์เพื่อช่วยซิงค์ออเดอร์และผลิตภัณฑ์กับผู้ดรอปชิป
- แนะนำสำหรับ: ผู้ขายที่มองหาการเป็นพันธมิตรกับผู้ค้าส่งและต้องการสร้างความร่วมมือทางธุรกิจที่แน่นแฟ้น
- การเชื่อมต่อแอป Shopify: ไม่รองรับ
9. Worldwide Brands
Worldwide Brands ก่อตั้งขึ้นในปี 1999 เป็นหนึ่งในไดเร็กทอรีซัพพลายเออร์ที่เก่าแก่และได้รับความไว้วางใจมากที่สุดในหมู่ผู้ขายปลีกที่มีประสบการณ์ ผู้ดรอปชิปใน Worldwide Brands ต้องปฏิบัติตามแนวทางการรับรองคุณภาพที่กำหนดไว้
Worldwide Brands นั้นไม่ต่างกับ Wholesale Central ในแง่การเป็นไดเร็กทอรีของซัพพลายเออร์และผู้ดรอปชิปที่พร้อมร่วมมือกับผู้ค้าปลีกหน้าใหม่ๆ อย่างไรก็ตาม แม้ Worldwide Brands จะไม่มาพร้อมระบบอัตโนมัติ แต่ก็มีผู้ค้าส่งที่ได้รับการรับรองมากกว่า 16 ล้านรายที่มีผลิตภัณฑ์หลากหลาย รวมถึงลิสต์ซัพพลายเออร์ดรอปชิปที่ได้รับการรับรองโดยเฉพาะด้วย
- ราคา: ค่าธรรมเนียมครั้งเดียว $187 (ประมาณ 6,450 บาท)
- ข้อดี: มีเกณฑ์ที่เข้มงวดในการสร้างลิสต์ซัพพลายเออร์ที่เชื่อถือได้
- ข้อเสีย: Worldwide Brands ไม่เสนอเครื่องมือที่เป็นระบบอัตโนมัติหรือระบบการจัดการคำสั่งซื้อ ดังนั้นการเชื่อมต่อสินค้าในสต๊อกอาจเป็นเรื่องยุ่งยาก
- แนะนำสำหรับ: เจ้าของร้านที่มองหาซัพพลายเออร์ที่เชื่อถือมาร่วมมือกัน
- การเชื่อมต่อแอป Shopify: ไม่รองรับ
เว็บดรอปชิปอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
Doba
Doba เป็นแพลตฟอร์มดรอปชิปที่มีซัพพลายเออร์ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกาและจีน ฟีเจอร์ที่โดดเด่นที่สุดของ Doba คือกฎการตั้งราคาอัตโนมัติ แทนที่คุณจะตั้งราคาผลิตภัณฑ์ด้วยตนเอง ผู้ขายสามารถสร้างกฎเพื่อกำหนดราคาผลิตภัณฑ์ตามมาร์กอัปคงที่จากราคาขายส่ง แผนบริการจะเริ่มต้นที่ $24.99 ต่อเดือน (ประมาณ 870 บาท) หลังจากช่วงทดลองใช้ฟรี นอกจากนี้ยังมีแอป Shopify อีกด้วย
Wholesale2b
Wholesale2b มีผลิตภัณฑ์มากกว่าหนึ่งล้านรายการจากผู้ค้าส่งมากกว่า 100 ราย ที่ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา แอป Shopify ของ Wholesale2b จะดึงออเดอร์จากร้านค้าของคุณ และส่งไปยังผู้ดรอปชิปที่คุณเลือกเพื่อให้จัดการออเดอร์ รวมถึงเพิ่มข้อมูลสำหรับติดตามการจัดส่ง และทั้งหมดนี้ก็ทำงานด้วยระบบอัตโนมัติ นอกจากนี้ยังมีระบบการทำงานที่ผสานกับ Amazon และ eBay ได้เลยในตัว ค่าบริการเริ่มต้นที่ $29.99 ต่อเดือน (ประมาณ 1,050 บาท)
วิธีที่ดีที่สุดในการเริ่มต้นธุรกิจดรอปชิป
เรามาดูขั้นตอนในการเริ่มต้นร้านดรอปชิปกัน
1. หาไอเดีย
ขั้นตอนแรกในการเริ่มต้นธุรกิจของคุณคือการคิดไอเดียผลิตภัณฑ์ อย่าลืมว่าในการทำร้านดรอปชิป คุณจะต้องคัดสรรผลิตภัณฑ์โดยเอาแบรนด์เป็นตัวตั้ง ดังนั้นคุณจึงควรโฟกัสไปที่รูปลักษณ์ที่แบรนด์สื่อออกมา
บางครั้งซัพพลายเออร์เองก็สามารถเป็นแรงบันดาลใจให้คุณได้นะ โดยคุณอาจจะลองหาผลิตภัณฑ์ของซัพพลายเออร์มาดูจำนวนหนึ่ง และหาว่ามีอะไรที่เข้ากันได้หรือเติมเต็มตลาดเฉพาะกลุ่มที่ยังไม่ค่อยมีสินค้ามีสินค้ามาตอบโจทย์ได้บ้าง
2. วิจัยตลาด
เมื่อคุณได้ไอเดียแล้ว คุณจะสามารถระบุได้ว่าคู่แข่งหลักๆ ของคุณคือใคร และวิเคราะห์คู่แข่ง การวิเคราะห์คู่แข่งคือการสำรวจเชิงลึกว่าคู่แข่งของคุณมีกลยุทธ์ทางธุรกิจ ตลาดเป้าหมาย การสร้างแบรนด์ ฟีเจอร์หลัก จุดราคา และการออกแบบเว็บไซต์เป็นอย่างไร
ขั้นตอนนี้จะช่วยให้คุณสามารถประเมินจุดแข็งและจุดอ่อนของพวกเขา และโฟกัสไปที่โอกาสในสร้างและพัฒนาแบรนด์ของตัวเองให้ดีกว่าพวกเขาให้ได้
3. หาซัพพลายเออร์ดรอปชิป
หลังวิจัยการตลาดเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปที่คุณต้องทำคือหาซัพพลายเออร์ดรอปชิป ที่มีสินค้าที่คุณต้องนำมาใช้สร้างแบรนด์ของคุณ ซึ่งเว็บไซต์ที่เราให้มาในลิสต์นี้ก็มีซัพพลายเออร์จำนวนมาก แต่คุณต้องไม่ลืมว่าคุณไม่จำเป็นต้องใช้ซัพพลายเออร์เพียงแค่เจ้าเดียว
ไดเร็กทอรีซัพพลายเออร์อย่าง Wholesale Central และ Worldwide Brands นั้นเป็นแหล่งข้อมูลที่ดีในการค้นหาร้านค้าที่วางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผลิตภัณฑ์ที่คุณต้องการ และยังเป็นแหล่งกระตุ้นไอเดียดีๆ ในการมองหาช่องทางตลาดเฉพาะกลุ่มที่ยังไม่ค่อยมีใครเจาะอีกด้วย
บริษัทดรอปชิปหลายแห่งสามารถเชื่อมต่อโดยตรงกับผลิตภัณฑ์ในร้าน Shopify ของคุณ ดังนั้นคุณจึงสามารถขายผลิตภัณฑ์จากผู้ดรอปชิปควบคู่ไปกับผลิตภัณฑ์ของคุณเองได้เลย
4. สร้างร้านค้าออนไลน์ของคุณ
เมื่อคุณเลือกซัพพลายเออร์ดรอปชิปได้แล้ว คุณก็พร้อมที่จะเริ่มต้นร้านค้าออนไลน์ของตัวเอง จำไว้ว่าการบริหารดูแลร้านค้าของคุณนั้นเป็นกระบวนการที่ต้องทำไปเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้คุณสามารถพัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์และแบรนด์ดิ้งได้โดยดูจากสิ่งที่ทำแล้วได้ผล
อย่าลืมไปดูเช็กลิสด์การเปิดร้านอีคอมเมิร์ซ เพื่อให้คุณมั่นใจว่าไม่มีอะไรขาดตกบกพร่องสำหรับการเตรียมตัวเปิดร้านของคุณ
5. ทำการตลาดกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ
เมื่อคุณเปิดร้านของตัวเองแล้ว ก็ถึงเวลาพาคนเข้ามาดู หากคุณมีผู้ติดตามในโซเชียลมีเดียหรือคอมมิวนิตี้ต่างๆ ทางออนไลน์อยู่แล้ว คุณก็สามารถบอกให้ลูกค้าหน้าเก่าไปที่ร้านของคุณได้เลย แต่ในหลายกรณี คุณต้องเริ่มจากการหาว่ากลุ่มเป้าหมายของคุณอยู่ตรงไหนเสียก่อน
ให้คุณค้นหาคอมมิวนิตี้ทางออนไลน์ที่พูดคุยเกี่ยกับผลิตภัณฑ์ของคุณ ไปออกงานแสดงสินค้าและแจกนามบัตร แต่ถ้าคุณยังไม่มีนามบัตร ก็มาใช้เครื่องสร้างนามบัตรฟรี เพื่อสร้างนามบัตรที่คุณปรับแต่งเองได้เพื่อโอกาสนี้โดยเฉพาะ
คุณควรสร้างผู้ติดตามทางออนไลน์ผ่านการตลาดทางโซเชียลมีเดียด้วย และอย่าลืมอัปเดตข่าวสารในคอมมิวนิตี้ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ของคุณ เพื่อติดตามว่าผลิตภัณฑ์ไหนกำลังมาแรงในวงการของคุณ
Shopify ทำให้การเชื่อมต่อกับเว็บดรอปชิปง่ายขึ้น
เมื่อคุณเริ่มต้นร้านดรอปชิปบน Shopify คุณจะสามารถเชื่อมต่อแอปดรอปชิปที่จะจัดการกระบวนการสั่งซื้อและการส่งไปถึงมือลูกค้าให้โดยอัตโนมัติ
Dropship เว็บไหนดีที่สุด
ด้านล่างนี้คือ 9 เว็บนี้ดีที่สุดสำหรับการดรอปชิป โดยพิจารณาจากเกณฑ์ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ค่าบริการ และรีวิวจากผู้ขาย Shopify
- DSers-AliExpress
- Spocket
- SaleHoo
- Zendrop
- Modalyst
- Trendsi
- Inventory Source
- Wholesale Central
- Worldwide Brands
Dropship เว็บไหนถูกที่สุด
เว็บดรอปชิปที่ถูกที่สุดคือ Wholesale Central ซึ่งฟรี แต่ในขณะเดียวกัน Wholesale Central นั้นเป็นไดเร็กทอรีผู้ดรอปชิปที่ขายผลิตภัณฑ์ที่ซึ่งเฉพาะเจาะจง ดังนั้นผู้ดรอปชิปเองอาจยังคงเรียกเก็บค่าธรรมเนียม
ส่วนแอปดรอปชิปที่ถูกที่สุดคือ DSers‑AliExpress Dropshipping ซึ่งมีแผนบริการแบบฟรี ที่ให้คุณค้นหาซัพพลายเออร์และเพิ่มผลิตภัณฑ์ได้ในจำนวนจำกัด
สินค้าที่เหมาะกับการดรอปชิปที่สุดคืออะไร
ถ้าคุณกำลังมองหาผลิตภัณฑ์สำหรับการดรอปชิปที่ดีที่สุด ผู้ดรอปชิปส่วนใหญ่จะระบุผลิตภัณฑ์ที่ขายดีที่สุดไว้ในเว็บของตัวเองอยู่แล้ว แต่คุณต้องจำไว้เสมอว่าสินค้าของคุณจะขายดีหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกต่างๆ เช่น การตลาดและแผนธุรกิจ
การดรอปชิปมีกำไรแค่ไหน?
การดรอปชิปมักจะมีกำไรสูง และสามารถรักษาต้นทุนการจัดการต่างๆ ได้ต่ำ เพราะคุณไม่จำเป็นต้องสต๊อกสินค้าเอาไว้ก่อนจะขาย
สามารถเชื่อมต่อดรอปชิปจากเว็บใดก็ได้ ใช่หรือไม่
ไม่ได้ เนื่องจากไม่ใช่โปรแกรมสร้างเว็บไซต์จะมีระบบที่เชื่อมต่อกับการดรอปชิป อย่างไรก็ตาม ทุกเว็บที่สร้างบน Shopify จะเปิดโอกาสให้คุณผสานรวมฟีเจอร์ดรอปชิปได้ มาเริ่มต้นกับ Shopify กันเลย
ข้อดีของดรอปชิปคืออะไร?
การดรอปชิปมีต้นทุนคงที่ต่ำมาก เนื่องจากไม่จำเป็นต้องซื้อสินค้ามาเก็บไว้ก่อนขาย นอกจากนี้ การดรอปชิปยังมีความยืดหยุ่นเรื่องเรื่องสถานที่ ประหยัดเวลา และทำให้การทดสอบผลิตภัณฑ์ใหม่เป็นเรื่องง่าย เมื่อเปรียบเทียบกับประเภทธุรกิจอื่นๆ